Todayi Think

ความคิดต่างๆในวันนี้

รีวิวหนังสือดีน่าอ่าน แปลหนังสือตามอารมณ์

Todayi Pic

รวมรูปถ่ายที่ได้มาจากความตั้งใจบ้าง บังเอิญบ้าง

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Todayi Read – Make Peace with Imperfection จงมีความสุขกับโลกในแบบที่มันเป็น

                ผมยังไม่เคยเจอคนที่รักความสมบูรณ์แบบที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสงบในจิตใจแม้แต่คนเดียว การมุ่งหวังให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบกับความปรารถนาที่จะมีความสงบในจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เมื่อใดก็ตามที่เราหวังให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่ใจเราต้องการ มากกว่าปล่อยให้มันเป็นในสิ่งที่มันเป็น เมื่อนั้นเราจะตกอยู่ในสงครามที่ไม่มีวันชนะ
                แทนที่เราจะยินดีและขอบคุณในสิ่งที่เรามีอยู่ เรากลับจ้องมองไปที่ข้อผิดพลาดของสิ่งนั้น และหาทางที่จะแก้ไขมันตลอดเวลา ยามที่เรารู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ เมื่อโลกไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ นั่นบอกเป็นนัยว่าเรายังไม่พึงพอใจในความไม่สมบูรณ์แบบของโลกใบนี้

                ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเราอย่าง ตู้ใส่ของที่รกรุงรัง รอยขีดข่วนบนฝากระโปรงรถ เพื่อนร่วมงานนิสัยแย่ น้ำหนักตัวที่มากกว่าที่ควรจะเป็น ใครบางคนแย่ๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สายตาคนอื่นที่มองเรา อุปนิสัย หรือการดำรงชีพของผู้อื่น เมื่อพบเจอความไม่สมบูรณ์แบบแล้วเพ่งมองไปที่ความไม่สมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวจะนำเราออกห่างจากชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข
                วิธีจัดการเรื่องนี้คือไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อให้สิ่งที่ขวางหูขวางตาเราหายไปจนหมด สิ่งที่เราต้องทำคือใส่ใจในเรื่องผิดพลาดต่างๆให้น้อยลง  มันเป็นเรื่องของการตระหนักว่า ถึงแม้เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องขุ่นเคืองและไม่มีความสุขไปกับชีวิตจนกว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ เราสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ทันทีในแบบที่มันเป็น

                ทางออกของเรื่องนี้คือ จงมีสติในการดึงตัวเองออกมา ก่อนที่จะจมลงไปในความไม่พอใจโลกใบนี้และก่นด่าว่าโลกควรจะดีกว่าที่มันเป็น เตือนตัวเองอย่างอ่อนโยนเสมอว่า “ชีวิตนั้นสวยงามในแบบที่มันเป็นอยู่แล้ว” เมื่อใดที่เราเลิกตัดสินทุกอย่าง ทุกอย่างก็ดูจะดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อใดที่เราเลิกต้องการให้ทุกอย่างในชีวิตเราสมบูรณ์แบบ เราจะเริ่มค้นพบความสมบูรณ์แบบของชีวิตอย่างที่มันเป็น

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Life – เมื่อชีวิตไม่ได้ยุติธรรม


ถ้าคุณหวังว่าโลกใบนี้จะยุติธรรมกับคุณ
เพราะคุณยุติธรรมกับโลกแล้วล่ะก็
 คุณกำลังหลอกตัวเอง
สิ่งที่คุณทำก็เหมือนการคาดหวังว่าสิงโตจะไม่กินคุณ
เพราะคุณไม่คิดจะกินมันนั่นแหละ


-idealist
อ่านเจอโควท(หรือเรียกว่า”คำคม”ดี)นี้แล้วแบบว่า “โดนใจมาก”
มากจนถึงขั้นต้องเอามาเขียนขยายความเลยทีเดียว

“จงทำดีกับผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะทำดีกับเรา”
เป็นคำสอนที่เราได้ยินมายาวนานมาก
แทบจะเรียกได้ว่า เป็นหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาเลยก็ว่าได้
แต่คำสอนนี้เองที่มอบความประมาทให้กับเรา
ทำให้เราเชื่อว่าแค่”ทำดี”กับเค้า แล้วเค้าก็จะดีตอบ
โดยมองข้ามพื้นเพหรืออุปนิสัยของฝั่งตรงข้ามไปเสียสนิท

ผมว่าคำสอนน่าจะเปลี่ยนเป็น “จงทำดีกับคนที่เห็นค่าความดีของเรา”
น่าจะช่วยให้การทำดีของเรามีประโยชน์มากกว่า ทำกับคนทุกผู้
ถ้าเปรียบเป็นสัตว์การให้อาหาร หมา แมว น่าจะมีโอกาสที่พวกมันจะดีตอบ
มากกว่าให้อาหารจระเข้ หมี หรือสิงโต
คนส่วนมากที่โดนหลอกใช้ โดนโกง ส่วนใหญ่ก็เกิดมาจากการคิดแบบนี้
คิดว่าโลกจะยุติธรรม คิดว่าแค่ทำดีกับคนอื่น แล้วคนอื่นก็จะทำดีกับเรา
ผลก็คือมีลูกหนี้จำนวนมากที่ต้องเป็นหนี้จากการค้ำประกัน
คู่รักที่โดนอีกฝ่ายหลอกให้เชื่อว่ารักกัน จนทุ่มเททุกอย่างให้หมด
และสุดท้ายอีกฝ่ายก็โดนเชิดหนีไปกับชู้
...จนคนที่ถูกทิ้งต้องมาก่นด่าภายหลังว่า ที่ทำดีแทบตายนี่ไม่มีความหมายเลยใช่ไหม?

น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่เคยยุติธรรมและคำตอบท้ายย่อหน้าก่อนนี้คือ”ใช่”
ตัวอย่างที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือการทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท
ที่แม้เราจะทุ่มเทให้บริษัทแทบเป็นแทบตายขนาดไหน
เมื่อถึงคราวจะลดต้นทุนทำกำไร เค้าก็ยินดีจะเออลี่รีไทร์เราออกได้ทันที

แล้วทางออกของปัญหานี้คืออะไรล่ะ?
ผมมองว่าทางออกคือเราน่าจะทำดีกับคนที่เห็นค่าเรา
เราควรจะสอนวิธีดูคนให้เป็น ดูว่าใครควรถอยห่าง ใครควรทำดีด้วย
ก่อนจะสอนให้คนทำดีกับใครไปทั่วอย่างหน้ามืดตามัว


แน่นอนว่า เราไม่คิดจะกินสิงโต แต่ถ้าเราเจอสิงโตที่คิดจะกินเรา
ทางออกที่ดีที่สุดคือต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็คงต้องมีใครตายซักข้าง
ดังนั้น มองให้ออกว่าใครเป็นสิงโต บริษัทไหนเป็นสิงโต แฟนคนไหนเป็นสิงโต
แล้วปลีกตัวออกมาจากชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นซะ

จากนั้นก็จงมองหาคนที่เป็นคนเหมือนเรา มีจิตใจดีเหมือนเรา
หรือบริษัทที่มองเห็นเราเป็นคนมากกว่าเครื่องมือในการทำงาน
คนประเภทนี้ต่างหากที่คู่ควรแก่การทำดีด้วย
คนประเภทนี้แหละที่จะทำให้โลกนี้ยุติธรรม
ไม่ทำให้เราต้องเสียใจในภายหลังกับความดีที่เราทุ่มเทให้ไป

...ขอให้โชคดีไม่เผลอทำดีกับสิงโตจนโดนงับหัวขาดทุกคน

Todayi read – Don’t Sweat the small staff อย่าไปใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ

               บ่อยครั้งที่คนเราปล่อยใจของเราให้ไปติดอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราทุ่มเทเวลา มันสมอง จิตใจให้ขุ่นมัวกับเรื่องที่จบไปแล้ว แทนที่จะปล่อยให้มันผ่านพ้นไป ตัวอย่างเช่น มีคนขับรถตัดหน้าเราอย่างกระทันหัน เราก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้หายไปจากจิตใจ เราใช้เวลาเกือบทั้งวันในการอธิบายว่าทำไมเราถึงหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น เราสร้างสถานการณ์หรือประสบการณ์แย่ๆขึ้นมาในจินตนาการเพื่อทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราพร้อมจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือกระทั่งคนแปลกหน้าฟังเป็นสิบๆครั้ง มากกว่าจะยอมปล่อยให้มันผ่านไป
                ทำไมไม่คิดเสียว่า คนขับรถแย่ๆแบบนั้นเดี๋ยวก็ต้องประสบอุบัติเหตุอยู่ดี เราจะไปแคร์ทำไม? หรือไม่ก็ลองพยายามนึกถึงตัวเองที่ต้องตกอยู่ในเวลาเร่งรีบแบบนั้นบ้าง เราจะได้เข้าใจเค้ามากขึ้น หากคิดแบบนี้ได้ใจเราก็จะผ่อนคลายได้มากกว่าเอาแต่เจ้าคิดเจ้าแค้น และที่สำคัญเราจะได้ไม่ต้องเอาปัญหาของคนอื่นเข้ามาเก็บไว้ในใจเราด้วย

                เรื่อง”เล็กๆน้อยๆ”ทำนองนี้เกิดขึ้นทุกๆวันกับทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นการยืนเข้าคิว ฟังคนบ่นเรื่องไม่เป็นธรรมในชีวิต หรือ ต้องช่วยงานส่วนรวมในบริษัท เรื่องเหล่านี้จะสร้างความรำคาญใจให้กับชีวิตเราได้น้อยลงมาก หากเราไม่เอาใจของเราไปใส่ไว้กับมัน คนส่วนใหญ่เสียพลังงานชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ไปกับการ”ใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆ” นั่นจะทำให้เราออกห่างจากความงามและน่าอภิรมย์ในชีวิต
เมื่อเราตั้งเป้าว่าจะทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตแทนที่จะเอาเวลาไปใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราจะพบว่า เรามีพลังงานในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น และเราจะมองโลกใบนี้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนมากขึ้นด้วย
               

                

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

DIYจนๆ : ทำบอร์ดเอาไว้แปะ Post-it ด้วยตัวเอง

หน้าคอมของผมไม่มีกำแพงหรือคอกแบบที่ออฟฟิศทั่วไปเค้ามีกัน
พอไม่มีคอกเวลาอยากแปะโพสต์อิทหรือกระดาษเตือนความจำ
ก็ต้องมาแปะเอาตรงขอบจอคอมด้านล่าง
ซึ่งนอกจากไม่สะดวก ดูเกะกะหน้าจอแล้ว มันยังหลุดได้ง่ายโคตรอีกด้วย

ด้วยความที่ช่วงนี้ช๊อตแบบสุดๆ ไอ้ครั้นจะออกจากบ้านไป
B2S หรือ Office mate
เพื่อหาซื้อบอร์ดมาแปะโพสต์อิท อันละ 100-200 ก็ดูจะกระทบงบประมาณมาม่าประจำเดือนมากไป
...อย่ากระนั้นเลย ทำเองแม่ม(ฮา)
ซึ่งอุปกรณ์ที่ต้องใช้มีดังต่อไปนี้


1.กระดาษรองกระป๋องเบียร์ หาได้ตามเซเว่น หรือร้านโชว์ห่วยแถวบ้าน
2.ภาพสวยๆที่เอาไว้รองพื้น เราจะไม่เอากระดาษรองลังเบียร์มาใช้สดๆ
เพราะนอกจากจะสื่อถึงความจนแบบไร้ที่ซุกหัวนอนแล้ว
มันยังทำให้โต๊ะคอมดูรกรุงรังมากกว่าจะเป็นระเบียบ
3.เทปกาว ใช้แบบใสหรือผ้าก็ได้ ถ้าไม่มีไปหาเอาตามโรงเรียนมัธยม
รอเด็กเผลอแล้วหยิบมาจากโต๊ะได้เลย ...ทำไมฟังแล้วอดสูจังวะ(ฮา)
4.กรรไกร

+++

ขั้นตอนการทำ
1.ลอกขอบข้างออกมาให้หมด
เช็ดส่วนผิวหน้าให้สะอาด

2.เอาภาพที่ชอบจากหนังสือหรือนิตยสารมาแปะลงไป

3.นำปลากระป๋องมาติดไว้ที่ด้านหลัง เพื่อเป็นฐานให้บอร์ดของเราตั้งได้


ในกรณีที่อยากได้ความแข็งแรงคงทนให้ใช้ขวดน้ำทิพย์ 1.5 ลิตรใส่น้ำลงไปให้เต็มแทน


4. บอร์ดสำหรับแปะโพสต์อิทแบบโคตรกิ๊บเก๋ยูเรก้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว


5.คำเตือน – ด้วยความที่บอร์ดนี้ทำด้วยความขี้เกียจขั้นเทพ และ ความจนขั้นสุด
อย่าไปหวังว่ามันจะทนมือทนเท้า รับแรงกระแทกแปะโพสต์อิทได้แบบเดียวกับกำแพงคอกในออฟฟิศ
ในทางกลับกันการดึงโพสต์อิทออกแบบกระชากหัวเมียน้อยในละครไทย
อาจได้โพสต์อิทหลุดออกมาพร้อมบอร์ด ดังนั้นกรุณาใช้ด้วยความทนุถนอมด้วย(ฮา)

6.คาดว่าในอนาคตอาจมี “บอร์ดจนๆ
V2” เกิดขึ้น แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไง?
ไว้รอบอร์ดนี้พังก่อนค่อยว่ากันอีกที


วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือ



อ่านหนังสือ 9 steps to work less and do more ในภาพข้างบนไปได้ครึ่งเล่ม
ในบทที่ 3 “เอาชนะเทคโนโลยี”มีมุมมองเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจมาก
ผู้เขียนมองว่าคอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือในการทำงาน
ไม่ใช่เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
...พูดแบบนี้หลายคนอาจจะงง

ลองคิดภาพตามนี้ดูนะครับ เราเอาค้อนไปตอกตะปู พอตอกตะปูเสร็จ เราทำยังไงกับค้อนต่อ?
แน่นอนเราต้องเอาค้อนไปเก็บในกล่องเครื่องมือ และไปทำอย่างอื่นต่อ
คงไม่มีใครที่ตอกตะปูเสร็จแล้วจะถือค้อนเดินไปเดินมาทั่วบ้านหรือที่ทำงานแน่นอน
แนวคิดนี้เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่ใครก็ทำกับเครื่องมือทุกชิ้นกันเป็นธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นค้อน เตารีด เครื่องตัดหญ้า มีดโกนหนวด แปรงทาสี ฯลฯ
...แต่คอมพิวเตอร์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
สมมติว่าเราต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์งาน ส่งอีเมล หรือ หาข้อมูลอะไรสักอย่าง
อะไรที่เราทำหลังจากที่เราทำงานที่เราต้องการเสร็จสิ้นหมดแล้ว
เราปิดคอมแล้วไปทำอย่างอื่น ...หรือเปิดคอมทิ้งไว้แล้ว เข้าเว็บโน่น เว็บนี่ไปเรื่อยๆ?

น่าแปลกที่คนเกือบทั่วโลกมองคอมพิวเตอร์ต่างออกไปจากเครื่องมือในการทำงาน
อาจเป็นเพราะความครบครันของมันที่สามารถทำได้หลายอย่าง
ทั้งเรื่องงาน และ การพักผ่อนในเครื่องเดียวกัน
เท่าที่ผมรู้ ผมไม่เคยเห็นใครใช้ค้อนหรือเตารีดในการพักผ่อนนะ(ฮา)

ผลคือหลังจากงานเสร็จ คนทั่วไปจึงใช้คอมในการผ่อนคลายต่อเลย
มันสะดวกแบบแปลกๆดีเหมือนกันนะคอมพิวเตอร์เนี่ย
เหมือนยกห้องนั่งเล่นมาไว้ในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไงอย่างงั้นเลย(ฮา)

ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคนี้ก็คือเราอยู่หน้าคอมกันวันละ 8-12 ชม.
แต่เราบอกไม่ได้เต็มปากว่า เราทำงานเต็มที่ตลอดเวลาเกือบครึ่งวันนั้น
ใครไม่เคยแอบอู้ เปิดเว็บเล่น ในเวลาทำงานบ้าง?
ต่อให้โดนบล็อกเฟซบุ๊ค คนเรามันก็หาอะไรอ่าน อะไรอู้ได้ตลอดจริงไหมล่ะ?
เมื่อการทำงานและการพักผ่อนผสมกันในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างลงตัว
แทนที่เราจะใช้มันในการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เจ้าคอมพิวเตอร์ตัวดีนี่ละที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราลดลงไป
...อย่างมหาศาลเลยด้วย

ที่ฮาไปกว่านั้นคือหนังสือเล่มนี้ที่ผมอ่านอยู่
ตีพิมพ์เมื่อปี 2010 ในยุคที่
Social Media ยังไม่แพร่หลายขนาดทุกวันนี้ด้วย
ถ้าเอาบรรทัดฐานเมื่อปี 2010 มาวัดคุณภาพคนทำงานในปี 2013
สงสัยประสิทธิภาพในการทำงานของเราจะตกลงจากอดีตกันแบบฮวบฮาบแน่ๆ

ลองมาเปลี่ยนแปลงอะไรกันใหม่ดูไหมครับ?
แทนที่เราจะให้คอมพิวเตอร์เป็นทุกอย่างในการทำงานของเรา
เราลองทำให้มันกลับกลายเป็นแค่”เครื่องมือ”ในการทำงาน
เหมือนที่มันเคยเป็นจะดีกว่าไหม?

ถ้าสนใจจะลอง วิธีการก็ไม่ยากครับ
แค่ใช้คอมพิวเตอร์เท่าที่มันจำเป็นต้องใช้งานเท่านั้นก็พอ
แล้วขนาดไหนที่เรียกว่า”เท่าที่จำเป็น”ล่ะ
เกณฑ์ในการตัดสินง่ายๆก็คือ
อะไรที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้คอมก็ไม่ต้องใช้คอมทำเท่านั้นเอง

ตัวอย่างเช่นวางแผนงาน
เราสามารถวางแผนบนกระดาษหรือสมุดโน้ตได้
ข้อดีของการทำงานบนกระดาษคือ
เราไม่สามารถแอบไปเช็คเฟซบุ๊คได้
นั่นน่าจะช่วยให้การทำงานของเรารุดหน้าได้เร็วขึ้นมาก

งานที่จำเป็นต้องทำหน้าคอมจริงๆก็น่าจะเป็นพวก
1.งานกราฟฟิคทั้งหลายเหล่
แต่แทนที่จะทำทุกอย่างจากหน้าจอเลย
เราก็ร่างภาพคร่าวๆเป็นไกด์ไลน์บนกระดาษก่อน
ค่อยไปทำให้เสร็จสมบูรณ์ในคอมอีกที

2.งานพิมพ์ รายงานต่างๆ
การพิมพ์เป็นงานที่ต้องใช้คอมทำอยู่แล้ว
แต่เราต้องตกลงกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนว่า
ถ้าเปิด
Word ขึ้นมาแล้วจะไม่แอบแว่บเข้าเน็ต
...ยกเว้นจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น

3.การติดต่อผู้คน ส่งอีเมล ส่งไฟล์งานต่างๆ
ยุคนี้การส่งอีเมล ไฟล์งานผ่านอินเตอร์เน็ทช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
แต่การเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายๆนั้นดึงความสนใจของเราได้มาก
แทนที่จะส่งเสร็จใน 15 นาที เราเล่นลากยาวไปเป็นชม.
ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้เน็ท ควรกำหนดจุดประสงค์และเวลาใช้งานก่อนเสมอ

สุดท้ายผู้เขียนหนังสือมองว่า
เราไม่ควรจะมีคอมอยู่ตรงหน้าเวลาทำงาน
กล่าวคือไม่ใช่พอไปถึงออฟฟิศแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือเปิดคอม
จากนั้นก็นั่งจ้องหน้าจอคอมทั้งวัน จนถึงเวลาเลิกงาน

เราน่าจะทำงานในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช้หน้าจอคอมเป็นหลัก
จอคอมอาจจะอยู่ใกล้ๆแต่ไม่ควรอยู่ต่อหน้า เป็นคอกไปเลย
งานต่างๆควรวางแผนให้เรียบร้อยบนกระดาษ
ก่อนที่จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ในการสานงานต่อให้เสร็จ
เหมือนเรามาร์คจุดที่จะตอกตะปูเอาไว้ก่อนจะไปหยิบค้อน
ไม่ใช่ถือค้อนเอาไว้ตลอดเวลาที่เอาดินสอมาร์คจุดที่จะตอกตะปู

จากการทดลองทำตามที่หนังสือเล่มนี้เขียนดูพบว่า
เอาแค่เรื่องการใช้งานคอมพิวเตอร์นี่ก็ช่วยให้ผมทำงานได้รวดเร็วขึ้นเยอะ
บทอื่นๆในหนังสือก็มีเนื้อหาน่าสนใจไม่ด้อยไปกว่ากัน
เล่นเอาอยากแปลสรุปมันซะทุกบทจริงๆ
....แต่จะมีคนอ่านเหรอว้า(ฮา)

และแน่นอนหลังจากอัพบล้อกนี้เสร็จแล้ว
ผมก็ปิดคอมไปทำงานที่หน้าสมุดโน๊ตต่อ
ผลที่ได้รับจากแนวคิดนี้คุ้มค่าราคา 100 เดียวของหนังสือมากๆ
ถ้าทุกบทน่าจะคุ้มค่ามหาศาลกันเลยทีเดียว (ฮา)

ปล.หาซื้อได้ตามคิโนะคุนิยะพารากอนก่อน 31 ก.ค.นี้
 เพราะลดราคาแบบบ้าเลือดมาก

น็นต้องทำ



 

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลพบุรี – เมืองลิงที่ห้ามใจอ่อน


วันเข้าพรรษาผมได้ไปตักบาตรดอกไม้ที่สระบุรีมา
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเขียนในวันนี้
เพราะภาพที่ต้องใช้ยังไม่พร้อม
และใจก็อยากเขียนเรื่องของลพบุรีมากกว่าด้วย



พูดถึงลพบุรีแล้ว ลิงคงเป็นสิ่งแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงจังหวัดนี้
ใครที่คิดว่าลิงจังหวัดนี้น่ารักนี่ เลิกคิดให้ไวนะครับ
ลิงส่วนมากพร้อมที่จะฉกของกินจากมือนักท่องเที่ยวเสมอ
ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอาหารลิงหรืออาหารคนก็ตาม

...และอาจเป็นของมีค่าอย่างมือถือหรือกล้องได้เช่นกัน ถ้ามันนึกคึกขึ้นมา
เจ้าของบล๊อคได้เห็นความแสบของลิงแบบเจ็บๆสองครั้ง
ครั้งแรกคือผู้หญิงคนนึงกำลังดูดน้ำอัดลมสีดำจากถุงเพื่อดับกระหาย
ทันใดนั้นเอง เจ้าจ๋อโผล่มาจากไหนไม่ทราบ กระโดดเกาะขา
แล้วกระชากถุงน้ำอัดลมไปจากมือของเธอ(เฮ้ย...)

อีกครั้งคือมีคนกำลังให้อาหารลิงในจุดที่กำหนดไว้ให้
แต่ดูเหมือนการได้กินทีละชิ้นจะไม่หนำใจพวกวานรขาโหด
พวกแกงค์ลิงเลยปีนขึ้นขาแล้วกระชากถุงข้าวโพดออกไปจากมือคนให้แบบอึ้งๆ
..เรียกได้ว่าถ้าเผลอทีมีหมดตัวแน่นอน


เรื่องลิงว่าแย่แล้วแต่เรื่องคนที่หากินกับลิงนี่สิที่แย่กว่า
แถวศาลพระกาฬและพระปรางค์สามยอดนี่แม้จะใกล้กันขนาดข้ามถนนสองทีถึง
แต่จำนวนรถที่ขวักไขว่ก็ทำให้การข้ามถนนนั้นอันตรายพอดูเหมือนกัน

จังหวะที่ผมจะข้ามถนนจากศาลพระกาฬไปที่พระปรางค์สามยอดนั้นเอง
พี่ๆหรือป้าๆที่ทำอาชีพขายอาหารลิง ก็”ทำเป็น”มีน้ำใจพาผมข้ามถนน
ซึ่งผมรู้อยู่แก่ใจล่ะว่า ของฟรีไม่มีในโลก
เค้าพาผมข้ามถนนเพราะอยากให้ผมซื้ออาหารลิงแน่นอนอยู่แล้ว

“น้องๆ ซื้ออาหารฝากลูกพ่อพระกาฬด้วยสิ”
เป็นประโยคคำถามที่แผงความใจดำเอาไว้ หากผู้ถูกถามไม่ยอมซื้อ
“ชุดเท่าไหร่พี่” ผมถามพร้อมจะควักตังค์เพื่อจ่ายเงิน
“ร้อยนึงจ้ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่น”อาหารลิง”หนึ่งชุดมาให้

ผมช๊อคว่ะ...

ไอ้
@#$% อาหารลิงหนึ่งชุดที่ว่า มีน้ำแดงในถุงพริกน้ำปลาหนึ่งถุง
พร้อมกับข้าวโพดดิบหนึ่งฝักที่ถูกหั่นออกเป็นสี่ถึงห้าชิ้น
ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ ผมสาบานว่า แม่มหมดชุดนี้ต้นทุนไม่น่าเกินห้าบาท
..เอาเข้าจริงแม่มสามบาทจะถึงหรือเปล่าเหอะ?

ทุนสามบาท... ขายร้อยนึง.... ทุนยี่สิบ... ขายร้อยยังเกินไปเลย...
ผมรีบบ่ายเบี่ยงทันที บอกไปว่าเดี๋ยวถ่ายรูปเสร็จก่อนค่อยให้
แม่ค้าที่ใจดีมีเมตตาอัธยาศัยดีที่พาเดินข้ามถนนมะกี้ ...หน้าบึ้งทันที
เธอเดินจากไปเหมือนเราไม่เคยสบตากันมาก่อน
เธอคงผิดหวังพอสมควร ที่ผมไม่ยอมซื้ออาหารลิงราคาสมเหตุสมผลของเธอ


ผมเดินเข้าเขตพระปรางค์สามยอด ถ่ายรูปลิง ถ่ายรูปพระปรางค์ไปเรื่อยๆ
มือหนึ่งก็คอยระวังไม่ให้กล้องเป็นที่สนใจของพวกลิง
ส่วนใจก็พลอยคิดถึงอาหารลิงชุดละร้อย ที่นำมาเสนอขายแบบเผาขนเมื่อครู่นี้

เราไม่ควรใจอ่อนกับลิงยังไง เราก็ไม่ควรใจอ่อนกับคนขายอาหารลิงแบบนั้น
การขายของราคาเกินกว่าเหตุเพียงเพราะว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวและทำอาชีพสุจริตนั้น
มันคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เราควักเงินออกมาจ่ายได้เสมอไป
ถ้าอาหารลิงชุดนั้นราคา
20 บาท ผมคงยินดีควักให้ไปแล้ว
หรือกระทั่ง
50 ก็อาจจะพอคุยกันได้(แม้จะไม่ค่อยอยากคุยก็เถอะ)
...เศษอาหารต้นทุนไม่กี่บาท เอามาขายร้อยนึงมันก็เกินไปนะ


แหม่ อุตส่าห์ไปถ่ายรูปสวยๆถึงลพบุรี แทนที่จะได้เรื่องสวยงามมาเขียน
กลับได้เรื่องชวนปวดหัว เซ็งในอารมณ์มาเล่าซะนี่
เอาเป็นว่าเดี๋ยวพอกลับถึงบ้านจะเอาเรื่องดีๆของลพบุรีมาเล่าใหม่อีกทีนะครับ








วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนยิ่งเคว้งยิ่งนอนดึก

โดยธรรมชาติแล้วหลังจากทำงานเหนื่อยยากมาทั้งวัน
ร่างกายของเราก็ต้องเรียกร้องการพักผ่อนนอนหลับเป็นธรรมดา
น่าแปลกใจที่ในยุคนี้ หลายคนบ่นว่าทำงานมาเหนื่อยสายตัวแทบขาดแท้ๆ
แต่พอถึงวันหยุดกลับนั่งทำโน่นทำนี่ เล่นอยู่หน้าจอคอม ปล่อยเวลาให้ไหลไปเรื่อยๆ
...ไม่เอาไปพักผ่อนอย่างที่มันควรจะเป็นซะนี่



เป็นไปได้ไหมว่าเราไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างที่เราชอบเลยในแต่ละวัน
เราต้องทนเดินทาง เราต้องทนทำงาน เราต้องทนทำตามแต่”ผู้มีอำนาจ”จะสั่งการลงมา
ซึ่งผู้มีอำนาจนี้ผมเหมารวมตั้งแต่เจ้านาย ลูกน้อง เพื่อน พ่อ แม่ ฯลฯ
ผู้มีอำนาจคือคนที่มีอำนาจในการสั่งให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำได้นั่นเอง

มันน่าเศร้าตรงที่พอเราทำสิ่งที่เราไม่อยากทำ ทำสิ่งที่ไม่ชอบ นานๆเข้า
เราก็หลงลืมไปซะสนิทเลยว่า เราชอบทำอะไร? เราอยากทำอะไร?
และที่เลวร้ายที่สุดคือ เราอยากพักผ่อนด้วยวิธีไหน?
นั่นเองเป็นสิ่งที่ผมมองว่ามันสร้างประชากรนกฮูก ที่ตาค้างไม่หลับไม่นอนจนเลยเที่ยงคืน
และทำได้แต่เลื่อนหน้าจอโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คขึ้นลง ไปจนกว่าร่างกายจะไม่ไหวแทน.



เรามีเทคโนโลยีที่เชื่อมคนให้เข้าถึงกันง่ายขึ้น
แต่ทำไมพวกเราเคว้งกันมากขึ้น?
พอไม่มีคนมาคอยสั่ง ไม่มีเจ้านายมาคอยคุม
เราเริ่มไม่รู้ตัวว่าเราต้องทำอะไรต่อไป?
เราปล่อยให้เวลาผ่านไปกับกิจกรรมที่เราเชื่อว่าเป็นการผ่อนคลาย
...แต่อันที่จริงเราอาจจะแทบไม่ได้ผ่อนคลายไปกับมันเลย

ผมเองก็เคยเคว้งแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะมีคนอื่นเคว้งแบบผมบ้างหรือไม่?

แรกเริ่มที่เคว้งอาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่
แต่พอเคว้งไปนานๆเข้า มันจะเคว้งจนเป็นนิสัย
และเราก็จะเคว้งไปเรื่อยๆ จนเมื่อวันนึงที่เรารู้สึกตัว
อายุของเราก็กำลังเข้าสู่วัยที่เรายังไม่อยากจะไปถึงแล้ว

ส่วนมากคนที่มีอาการเคว้ง มักจะมีอาการขาดแคลนความฝันร่วมด้วย
ความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตนั้นเป็นเหมือนหลักยึดเหนี่ยว
ที่จะทำให้เราไม่เคว้ง ลอยไปลอยมา นอนดึกนอนดื่นโดยไม่มีจุดหมาย
ถ้าเรามีจุดหมายในชีวิตที่ชัดเจน เราจะไม่นอนดึก เพราะเรามีเรื่องต้องทำแต่เช้า
หรือถ้านอนดึกก็มักจะทำงานเพื่อให้เข้าใกล้ความฝันที่หวังไว้มากกว่า

ก็ถือซะว่าเป็นอาการอย่างหนึ่งละกัน ไอ้การนอนดึกโดยไม่มีอะไรให้ทำชัดเจนเนี่ย
คนที่เคว้งก็ควรจะสังเกตอาการนี้เพื่อบอกกับตัวเองว่า
“กุทำอะไรเรื่อยเปื่อยจนดึกดื่นเนี่ย กุควรจะหาอะไรดีๆทำแทน หรือไม่ก็ไปนอนซะ”
การเคว้งไม่ก่อประโยชน์ใดๆให้กับตัวคนเคว้ง
และลงโทษเราภายหลังอย่างแรงเมื่อกลับมาเสียดายเวลาที่เสียไปนั่นเอง

ปล.ไอ้คนเขียนนี่ไม่เคว้งเลยเนอะ เขียนแม่มเกือบเที่ยงคืน
ปล2.เลิกเคว้งได้แล้ว ไปนอนเถอะว่ะ 555


วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นกนุ่ม - แมคฟรายส์ลด 50% อร่อยครึ่งราคา น้ำหนักขึ้นเท่าตัว

สมัยก่อนผมเป็นแฟนประจำของเฟรนช์ฟรายส์ของแมคโดนัลด์
อันที่จริงก็เป็นแฟนประจำของเฟรนช์ฟรายส์ทุกยี่ห้อนั่นแหละ
รสชาติของมันฝรั่งที่หอมมัน ผสานกับเกลือที่เค็มๆ ชุ่มไปด้วยซอสมะเขือเทศที่คว้านขึ้นมา
...อาส์ แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว


ล่าสุดไปเห็นโปรโมชันแมคฟรายส์ลดราคา 50% ที่มีตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง  26 ก.ย.แล้ว
ก็อดคิดไม่ได้ว่า งานนี้ยอดขายของแมคฟรายส์น่าจะกระฉูดอีกเช่นเคย
เวลาไปรอเพื่อนในห้าง ถ้าไม่มีอะไรทำก็จัดแมคฟรายส์กลางครึ่งราคา( 28 บาท)
มานั่งกินแก้เหงาปาก นั่งตากแอร์รอเพื่อนได้สบาย


น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้ผมลดปริมาณการกินเฟรนช์ฟรายส์ไปมากแล้ว
(...ด้วยเหตุผลที่พุงยื่นล้ำออกมาไกลกว่าจมูก)
ดังนั้นโปรโมชันนี้จึงไม่กระทบกระเพาะและกระเป๋าเงินของผมเสียเท่าไหร่
แต่กับคนที่คิดจะลองเพราะเห็นว่ามันราคาถูกลงตั้งครึ่ง
งานนี้รับรองได้ว่ามีการเสพติดเกิดขึ้นแน่ๆ


การจะทำอะไรให้เป็นนิสัยมีกฎที่เรียกว่ากฎ 21 วันอยู่
กล่าวคือถ้าเราทำอะไรซ้ำๆทุกวันจนครบ 21 วันแล้ว สิ่งนั้นจะกลายมาเป็นนิสัยของเรา
ไม่เว้นแม้แต่การกินเฟรนช์ฟรายส์เช่นกัน ถ้าเรากินเฟรนช์ฟรายส์ทุกวันเพราะเห็นว่ามันลดตั้งครึ่งราคา
หลังจากวันที่ 21 เป็นต้นไป ทีนี้แม้ว่ามันจะราคาเต็ม เราก็จะอดกินไม่ค่อยได้ละ เพราะร่างกายเราติดไปแล้ว
ไม่ได้ต้องการจะโจมตีว่า การกินเฟรนช์ฟรายส์เป็นสิ่งที่ให้โทษ(ขี้เกียจพิมพ์ ช์ กับ ส์ เป็นบ้า)
แต่อย่างน้อยเราก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ
ถ้าใครจะแย้งว่าเฟรนช์ฟรายส์ดีต่อสุขภาพ ....งานนี้อย่าลืมซื้อทานทุกมื้อหลังอาหารนะครับ(ฮา)



หากใครเคยดูภาพยนตร์ฝรั่งเรื่อง
Super Size Me
ที่ตัวเอกเอาตัวเองเป็นหนูทดลองด้วยการกินบิ๊กแมคต่อเนื่องกัน 30 วัน
เราจะเห็นได้ว่า ตัวเอกคนนี้อ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากผ่านไป 1เดือน
จริงอยู่ที่เราอาจบอกว่า “คิดมากไปมั้ง ชั้นเข้าไปกินแค่เฟรนช์ฟรายส์เท่านั้นเอง”
แต่คนเราจะกินเฟรนช์ฟรายส์เปล่าๆ โดยไม่กินเบอร์เกอร์หรือน้ำอัดลมร่วมได้ทุกครั้งไปเหรอ?


เรื่องน้ำหนักและความอ้วนนี่เป็นเรื่องที่คนเมืองดูแลตัวเองได้ยากมาก
ไม่ว่าจะเด็กนักเรียนหรือวัยทำงาน เพราะกว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว
สถานการณ์มันไม่ได้เอื้อให้เกิดอารมณ์ออกกำลังกายเลย
ดังนั้นเมื่อไม่สามารถเผาผลาญออกได้มาก เราก็ไม่น่าจะเอาอะไรเข้าปากให้มากเหมือนกัน
ในมหกรรมลดราคา 50% ครั้งนี้(ไม่พิมพ์เฟรนช์ฟรายส์แล้วนะเมื่อยมือ)
ใครใคร่จะกินก็กินไปเถอะไม่ได้ห้าม แต่คิดดูให้ดีๆนะ เพราะกว่าจะลดได้แต่ละกิโลนี่มันยากแค่ไหน
แต่ไอ้การอ้วนขึ้นสองกิโลนี่ง่ายกว่าเอาลงสองกิโลเป็นสิบๆเท่าเลยนะเออ
เทศกาลลดราคาครั้งนี้จัดจนถึง 26 ก.ย.
ขนาดเล็กไม่ร่วมรายการ
ขนาดกลางลดเหลือ 28 บาทจากเดิม 55 บาท
ขนาดใหญ่ 31 บาท จากเดิม 62 บาท ...เพิ่ม 3 บาทเปลี่ยนจากกลางเป็นใหญ่ ...3บาทเองเรอะ
และสุดท้าย ขนาดใหญ่พิเศษเพียง 35 บาทเท่านั้น ...จากใหญ่เป็นใหญ่พิเศษเพิ่ม 4 บาท

การตั้งราคาสูสีแบบนี้ผมว่ามันบีบให้เราซื้อใหญ่พิเศษทางอ้อมชัดๆ
!!
จากกลางไปใหญ่พิเศษเพิ่มแค่ 7 บาท
!! ให้แมวคิดยังรู้เลยว่า ใหญ่พิเศษคุ้มกว่ากันเห็นๆ
ถ้าคิดเล่นๆว่าใหญ่พิเศษเยอะกว่าขนาดกลาง 2 เท่า เพิ่ม 7 บาทได้ปริมาณ 2 เท่า
...ยังไงก็ต้องสั่งใหญ่พิเศษละฟะ
เอ้า แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่คนกินละ
อยากคุ้มเงินตอนกิน แต่ไปลำบากตอนเบิร์นก็ตามสบาย
ถ้ากินขนาดกลาง 1 วันต้องเบิร์นออก 2 วัน
ซัดขนาดใหญ่พิเศษทีนึงไม่ต้องเบิร์นออก 4 วันเลยเหรอไง
งานนี้พุงใครพุงมันละ แต่ผมขอผ่านละกัน