ไล่อ่านข่าวต่างประเทศตอนบ่ายๆ
หลังจากอ่านข่าวในประเทศแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจซักเท่าไหร่
มีข่าวหนึ่งที่สะดุดตาอย่างมาก เพราะตอนแรกอ่านว่า
“เบอร์เกอร์ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลกที่ลอนดอน”
ไอ้เราก็งง กินเบอร์เกอร์มันมาเป็นข่าวได้ไงวะ? แล้วมากินครั้งแรกอะไรเอาป่านนี้?
อ่านดูดีๆมันเขียนว่า World's first lab-grown burger is eaten in London
ซึ่งแปลว่า “เนื้อวัวที่ถูกปลูกขึ้นในห้องทดลอง ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลก” ต่างหาก
หลังจากอ่านข่าวในประเทศแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจซักเท่าไหร่
มีข่าวหนึ่งที่สะดุดตาอย่างมาก เพราะตอนแรกอ่านว่า
“เบอร์เกอร์ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลกที่ลอนดอน”
ไอ้เราก็งง กินเบอร์เกอร์มันมาเป็นข่าวได้ไงวะ? แล้วมากินครั้งแรกอะไรเอาป่านนี้?
อ่านดูดีๆมันเขียนว่า World's first lab-grown burger is eaten in London
ซึ่งแปลว่า “เนื้อวัวที่ถูกปลูกขึ้นในห้องทดลอง ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลก” ต่างหาก
ความน่าสนใจของข่าวนี้อยู่ที่เทคนิคการเพาะเลี้ยง Stem Cell
หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้น
ในตอนแรกถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆให้กับผู้ป่วย
แต่ศจ. Mark Post แห่งมหาวิทยาลัย Maastricht
เล่นประยุกต์เอาเทคนิคนี้มาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อวัว
...และมันได้ผลเสียด้วยสิ
ในตอนแรกถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆให้กับผู้ป่วย
แต่ศจ. Mark Post แห่งมหาวิทยาลัย Maastricht
เล่นประยุกต์เอาเทคนิคนี้มาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อวัว
...และมันได้ผลเสียด้วยสิ
Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิดถูกนำมาเพาะเลี้ยงในห้องทดลองให้เติบโตเป็นเนื้อเยื่อบางๆ
มีความยาวราว 1 ซม.หนา 2-3 มิล การเพาะเลี้ยงจะเพราะแยกไว้หลายๆชิ้น
ชิ้นไหนที่โตได้ขนาดก็เอาไปแช่แข็งไว้ เมื่อได้ปริมาณที่มากพอแล้วก็เอามารวมกัน
แล้วก็กลายเป็นเบอร์เกอร์ให้ผู้ทดสอบได้กิน อย่างที่เราเห็นในคลิปนั่นเอง
ผลการทดสอบผ่านลิ้นของนักวิจารณ์อาหาร Hanni Ruetzler และ Josh Schonwald
ได้ผลว่า “เนื้อที่ปลูกขึ้นนี้ มีความคล้ายเนื้อวัวจริงๆ
เพียงแต่ไม่มีไขมันและขาดความฉ่ำเยิ้มอย่างที่เนื้อวัวควรจะมี”
ถ้าไม่คิดอะไรมาก นั่นแปลว่า ถ้าเอาเนื้อ”ปลูก”นี้มาใส่เบอร์เกอร์
ให้คนทั่วไปทาน ก็คงยากจะแยกออกว่าอันไหนเป็นเนื้อวัวจริง อันไหนเป็นเนื้อที่ปลูกขึ้นมา
มีความยาวราว 1 ซม.หนา 2-3 มิล การเพาะเลี้ยงจะเพราะแยกไว้หลายๆชิ้น
ชิ้นไหนที่โตได้ขนาดก็เอาไปแช่แข็งไว้ เมื่อได้ปริมาณที่มากพอแล้วก็เอามารวมกัน
แล้วก็กลายเป็นเบอร์เกอร์ให้ผู้ทดสอบได้กิน อย่างที่เราเห็นในคลิปนั่นเอง
ผลการทดสอบผ่านลิ้นของนักวิจารณ์อาหาร Hanni Ruetzler และ Josh Schonwald
ได้ผลว่า “เนื้อที่ปลูกขึ้นนี้ มีความคล้ายเนื้อวัวจริงๆ
เพียงแต่ไม่มีไขมันและขาดความฉ่ำเยิ้มอย่างที่เนื้อวัวควรจะมี”
ถ้าไม่คิดอะไรมาก นั่นแปลว่า ถ้าเอาเนื้อ”ปลูก”นี้มาใส่เบอร์เกอร์
ให้คนทั่วไปทาน ก็คงยากจะแยกออกว่าอันไหนเป็นเนื้อวัวจริง อันไหนเป็นเนื้อที่ปลูกขึ้นมา
ทีเด็ดคือเนื้อที่ปลูกขึ้นมานี้
ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการเลี้ยงวัวถึง 45%
ลดแก๊สเรือนกระจกได้มากถึง 96% และ ใช้ที่ดินไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับการเลี้ยงวัว!!
และต่อไปเราอาจปลูกเนื้อไว้กินเองที่บ้านได้อีกด้วย!!
ศจ. Mark Post หัวหน้าเครือข่ายทีมวิจัยด้านอาหารมหาวิทยาลัย Oxford กล่าวกับกรณีนี้ว่า
“ถ้ามันไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเนื้อวัว ไม่ได้มีรสชาติเหมือนเนื้อวัว
มันคงมาแทนที่เนื้อวัวไม่ได้หรอก“
และเธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “คนจำนวนมากมองเนื้อที่มาจากการเพาะปลูกในห้องทดลอง
เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้าพวกเขาเห็นวัวในโรงเชือด นั่นมันก็น่ารังเกียจไม่แพ้กันนะ”
ความเป็นไปได้ที่เทคนิคนี้จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์จริงๆคงจะอีกสักพัก
(ในข่าวใช้คำว่า While แปลว่าสักระยะหนึ่ง ซึ่งน่าจะนานกว่า 1 ปีขึ้นไป)
การนำผลงานมาแสดงออกสื่อครั้งนี้ เป็นเพียงการบอกให้โลกรับรู้ว่า
“เราสามารถทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริงได้” ศจ. Mark Post กล่าว
อ่านข่าวนี้จบแล้วเล่นเอามองโลกอนาคตไม่เห็นเลย เกิดวันดีคืนดี เนื้อวัวปลูกพวกนี้แม่มทำในเชิงพาณิชย์ได้จริงแล้วราคาถูกกว่าเนื้อวัวแท้ครึ่งต่อครึ่งผู้บริโภคจะเลือกกินอะไรกันล่ะทีนี้?
คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆเมื่อมีแหล่งโปรตีนราคาถูกเช่นนี้ออกวางตลาดน่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนที่เข้าถึงแหล่งโปรตีนราคาแพงไม่ได้หรือพูดอีกอย่างแทบไม่ได้กินอาหารให้อิ่มท้องเลยนั่นเอง
ที่มาข่าว : http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-23576143
ลดแก๊สเรือนกระจกได้มากถึง 96% และ ใช้ที่ดินไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับการเลี้ยงวัว!!
และต่อไปเราอาจปลูกเนื้อไว้กินเองที่บ้านได้อีกด้วย!!
ศจ. Mark Post หัวหน้าเครือข่ายทีมวิจัยด้านอาหารมหาวิทยาลัย Oxford กล่าวกับกรณีนี้ว่า
“ถ้ามันไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเนื้อวัว ไม่ได้มีรสชาติเหมือนเนื้อวัว
มันคงมาแทนที่เนื้อวัวไม่ได้หรอก“
และเธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “คนจำนวนมากมองเนื้อที่มาจากการเพาะปลูกในห้องทดลอง
เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้าพวกเขาเห็นวัวในโรงเชือด นั่นมันก็น่ารังเกียจไม่แพ้กันนะ”
ความเป็นไปได้ที่เทคนิคนี้จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์จริงๆคงจะอีกสักพัก
(ในข่าวใช้คำว่า While แปลว่าสักระยะหนึ่ง ซึ่งน่าจะนานกว่า 1 ปีขึ้นไป)
การนำผลงานมาแสดงออกสื่อครั้งนี้ เป็นเพียงการบอกให้โลกรับรู้ว่า
“เราสามารถทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริงได้” ศจ. Mark Post กล่าว
อ่านข่าวนี้จบแล้วเล่นเอามองโลกอนาคตไม่เห็นเลย เกิดวันดีคืนดี เนื้อวัวปลูกพวกนี้แม่มทำในเชิงพาณิชย์ได้จริงแล้วราคาถูกกว่าเนื้อวัวแท้ครึ่งต่อครึ่งผู้บริโภคจะเลือกกินอะไรกันล่ะทีนี้?
คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆเมื่อมีแหล่งโปรตีนราคาถูกเช่นนี้ออกวางตลาดน่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนที่เข้าถึงแหล่งโปรตีนราคาแพงไม่ได้หรือพูดอีกอย่างแทบไม่ได้กินอาหารให้อิ่มท้องเลยนั่นเอง
ที่มาข่าว : http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-23576143
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น