Todayi Think

ความคิดต่างๆในวันนี้

รีวิวหนังสือดีน่าอ่าน แปลหนังสือตามอารมณ์

Todayi Pic

รวมรูปถ่ายที่ได้มาจากความตั้งใจบ้าง บังเอิญบ้าง

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Read – สนใจคู่สนทนาเสียบ้าง


                มันมีเวทย์มนต์ในจิตใจของมนุษย์เราแบบหนึ่งซ่อนอยู่ ความรู้สึกสุขสงบจะครอบคลุมไปทั่วทุกอณูของจิตใจในยามที่เราไม่ต้องการเกียรติยศ ชื่อเสียง หน้าตา หรือความสนใจใดๆ ในยามที่เรายอมปล่อยสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้อื่นแทนที่จะกระหายเก็บเอาไว้กับตัวเอง

                ความต้องการเป็นที่สนใจที่ไม่มีวันพอของเราคืออีโก้ที่อยากให้โลกใบนี้มีเราเป็นศูนย์กลาง อีโก้นี้จะตะโกนว่า “มองมาที่ชั้นสิ ชั้นเป็นคนพิเศษนะ เรื่องของชั้นน่าสนใจกว่าเรื่องที่คุณพูดเยอะเลย” มันเป็นเสียงตะโกนที่อยู่ในใจของเราที่ไม่มีคนอื่นได้ยิน เจ้าอีโก้นี้เชื่อว่า “ความสำเร็จของเราย่อมสำคัญกว่าความสำเร็จของใครๆ” อีโก้นี่แหละที่ทำให้เราอยากมีคนสนใจ มีคนฟัง มีคนเคารพ และมีคนเห็นว่าเราเป็นคนพิเศษ  

สิ่งที่อีโก้เราต้องการเป็นสิ่งที่ต้องชิงมาจากผู้อื่น มันนี่เองที่ทำให้เราชอบพูดขัดคอเวลาคู่สนทนากำลังพูด และ ทำให้เราขาดความอดทนรอให้ถึงโอกาสพูดของตัวเอง คนที่มีอีโก้สูงจึงพยายามดึงบทสนทนาและความความสนใจทั้งหมดกลับมาที่ตัวเองตลอดเวลา

พวกเราหลายคนมีนิสัยเช่นนี้ ซึ่งมันก่อให้เกิดความเสียหายโดยที่เราไม่รู้ตัว เวลาที่เราพยายามดึงบทสนทนากลับมาเป็นเรื่องของเรา เรากำลังค่อยๆทำลายความสุขของคู่สนทนาไปทีละน้อย มันเป็นการสร้างช่องว่างระหว่างเรากับคู่สนทนาให้กว้างขึ้น และท้ายที่สุดจะไม่มีใครได้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้เลย

โอกาสหน้า เวลามีใครบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จของเขากับเรา ตั้งสติให้ดี อย่าพูดเรื่องของเราเวลาแทรกกลับไป ปล่อยให้คู่สนทนาได้เพลิดเพลินกับเรื่องราวที่เขาพูดอย่างเต็มที่เสียบ้าง

ถึงแม้ว่านิสัยนี้ยากที่จะแก้ไข แต่โดยทั่วไปแล้ว เราจะมีความสงบมากขึ้น ยามที่เราสยบอีโก้ของเราเองให้เงียบลง และปล่อยตัวเองให้มีส่วนร่วมในความสำเร็จที่ผู้อื่นนำมาเล่าให้เราฟัง มันไม่เป็นการดีเลยที่จะขัดคอผู้สนทนาด้วยประโยคทำนองว่า ”ตอนที่ชั้นทำเรื่องแบบนั้นนะ” หรือ “รู้ไหมวันนี้ชั้นทำอะไร” คราวหน้าเวลามีใครมาเล่าอะไรให้ฟัง กัดลิ้นตัวเองให้นิ่ง รอฟังเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าให้จบก่อน แล้วดูซิว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ลองพูดว่า ”โอ้ นั่นเยี่ยมไปเลย” หรือ “แล้วเป็นยังไงต่อ เล่าสิ เล่าสิ” ดูบ้าง รับรองคู่สนทนาจะตาเป็นประกายและพูดต่ออย่างมีความสุขมากๆ นั่นเพราะเรากำลังฟังสิ่งที่เค้าพูดอย่างตั้งใจ เค้าจะไม่รู้สึกว่าเราเป็นปรปักษ์ ผลของการทำเช่นนี้จะทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้เรา เพราะเราเป็นคนที่ทำให้เค้ามีความมั่นใจและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนน่าสนใจ อีกทั้งเราเองก็จะผ่อนคลายด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่ต้องนั่งเซ็งอยู่บนเก้าอี้และรอว่าเมื่อไหร่จะถึงตาเราพูดเสียที

แน่นอนว่ามันย่อมต้องมีเวลาที่เหมาะสมในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของกันและกัน และการแบ่งปันต้องเป็นการสนทนาสองทาง ไม่ใช่เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว 

เราเชื่อกันว่าการได้รับความยอมรับและความมั่นใจเป็นสิ่งที่ต้องได้มาจากผู้อื่น แต่มันย้อนแย้งตรงที่เมื่อเรายอมให้ผู้อื่นได้เกียรติ ได้หน้า ได้พูดอย่างเต็มที่ ความต้องการจะเป็นจุดสนใจของเราจะถูกแทนที่ด้วยความมั่นใจจากภายใน เราได้รับเกียรติยศ ได้รับความสนใจ จากการที่เรายอมปล่อยให้ผู้อื่นได้รับมันไปก่อนซะอย่างงั้น

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

52 ร้านที่ต้องกินก่อนตาย

ไปเห็นมาจากเพจ อีดอกตอบ เลยเอามาลงไว้ที่นี่ 
เผื่อเอาไว้เปิดอ่านเวลาผ่านไปแถวนั้นจะได้กิน


เครดิตภาพจาก Openrice.com


52 ร้านที่ต้องกินก่อนตาย 1. โจ๊กสามย่าน 
2. ข้าวราดแกงวัดเล่งเน่ยยี่ : ในซอยมังกร ข้างวัดเล่งเน่ยยี่ถนนเจริญกรุง
3. โจ๊กหม้อดิน ซอยมหาดไทย
4. ข้าวขาหมูสีลม อยู่ในซอยตรงข้างโรงพยาบางเลิดสิน คนแถวนั้นรู้จักในนามขาหมูโกโก้
5. ข้าวมันไก่ตอน ประตูน้ำ
6. ข้าวหมูแดงสีมรกต ตรอกโรงหมูตรงข้ามวัดไตรมิตร
7. ข้าวขาหมู เหม่งจ๋าย
8. ข้าวผัดปู ห้าแยก ณ ระนอง
9. ร้านเต้าหู้ทอด เผือกทอด น้ำจิ้มรสเด็ด จตุจักร โครงการ 2 ซอย 2
10. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสศรีย่าน
11. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเด้งได้ ท่าน้ำราชวงศ์
12. หมี่กรอบจีนหลี สมัย ร.5 ท่าน้ำตลาดพลู
13. ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย สมทรงโภชนา ซอยวัดสังเวช ถนนท่าพระอาทิตย์
14. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาโบราณ จันทบุรี วัดตรีทศเทพ
15. ก๋วยเตี๋ยวไหหลำ สะพานขาว ถนนลูกหลวง ใกล้โรงหนังแอมบาสเดอร์เก่า
16. เย็นตาโฟวัดแขก ถนนสีลม
17. ไก่ย่างแม่วันเพ็ญ ซอยอาภาภิรมย์
18. กระเพาะปลาน้ำแดง ตลาดสวนหลวง ใกล้สนามกีฬาแห่งชาติ
19. ร้านครัวอรรถรส ซอยเสือใหญ่อุทิศ
20. ส้มตำจตุจักร ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก.
21. ปลาหมึกย่างสยามสแควร์ สยามสแควร์ซอย 4
22. ไก่ทอด 7 กระทะ จากแยกรัชดา-สุทธิสาร มุ่งหน้าสู่แยกที่จะลัดออกสู่ลาดพร้าวอยู่ทางซ้ายมือ
23. ไก่ทอดเจ๊กี ซอยโปโล ตรงข้ามสวนลุมพินี
24. เป็ดย่างพูลสิน เลยวัดตรีทศเทพมาเล็กน้อย
25. ห่านพะโล้ฉั่วคิมเฮง ตรงมาจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ข้ามแยกคลองตันมาถนนพัฒนาการ จะเห็นร้านใหญ่ซ้ายมือ
ร้านดั้งเดิมปัจจุบันยังอยู่ท่าดินแดง ชื่อฉั่วกิมฮวด เก่าแก่จนได้รับฉายาว่าเป็นห่านสามชั่วคน
26. ไก่ย่างจิรพันธ์ ถนนรามคำแหง
27. เนื้อย่างเกาหลี สูตรบึงพลาญชัย หมู่บ้าน ต.รวมโชค ซอยโชคชัย 4
28. สะอาด ถนนอิสรภาพ ใกล้สี่แยกบ้านแขก
29. ห่านพะโล้สะพานเหลือง ริมถนนพระราม 4
30. ร้านกาแฟโบราณเอี๊ยะแซ ถนนเยาวราช-พาดสาย
31. ขนมเบื้องวังเดิม ดิโอลด์สยามพลาซ่า
32. ไอศกรีมทิพรส สี่แยกเตาปูน
33. ร้านขนมไทยหวานดำรงค์ สี่แยกศรีวรา
34. ถั่วแปบ ซอยละลายทรัพย์
35. ปอเปี๊ยะ/ มะตะบะ ท่าพระจันทร์
36. โรตีกรอบ หน้าเพาะช่าง
37. เซ็งซิมอี๊ ตลาดสวนหลวง
38. ลอดช่องสิงคโปร์ วงเวียน 22
39. ไอศกรีมไข่แข็ง ตลาดสวนหลวง
40. ซ่าหริ่มชูถิ่น
41. มนต์ นมสด ตรงข้าม กทม.
42. ราดหน้า 4 สี ร้านชิ้งกี่ อยู่ใกล้สวนรมณีย์นาถ
43. ผัดไทยสำราญราษฎร์ ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูผีวัดสระเก
44. เย็นตาโฟประตูผี เลยร้านผัดไทย
45. ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ซอยตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง
46. ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล ซอยข้างตลาดวรจักร
47. ข้าวมันไก่เจ๊ยี ตรงข้ามวัดสระเกศ
48. ข้าวต้มปลา 5 แยก พลับพลาไชย
49. ก๋วยเตี๋ยวหลอด ซอยข้างสถานีตำรวจพลับพลาไชย
50. ก๋วยจั๊บเผ็ด ซอยโรงเลี้ยงเด็ก
51. ก๋วยเตี๋ยวหลอดเยาวราช ถนนเยาวราชฝั่งขวา ก่อนแยกเข้าถนนผดุงด้าว
52. เกาเหลา เนื้อตุ๋น เจ้ผอม ตลาดปีระกา อยู่ที่เวิ้งนครเกษม

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Read – ทำสิ่งดีๆกับผู้อื่น และ จงเก็บเรื่องนั้นเป็นความลับ


                เมื่อพวกเราทำสิ่งดีๆอะไรก็ตาม เราก็มักจะเอาเรื่องนั้น ไปเล่าให้กับบุคคลที่สามฟังเสมอ ราวกับต้องการให้มีคนมาคอยอนุมัติความดีที่ได้ทำไปยังไงยังงั้น

                เวลาเราเล่าเรื่องหรือแบ่งปันสิ่งดีๆที่เราได้ทำไป มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนที่มีค่ามากขึ้น การเล่าเรื่องทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นคนที่ดีขนาดไหน และเราควรจะได้รับอะไรจากจิตใจที่ดีมีเมตตาเช่นนี้

                การทำสิ่งที่ดีนั้นเป็นเรื่องงดงามโดยเนื้อแท้ของมันอยู่แล้ว แต่มันยังมีสิ่งที่วิเศษไปกว่านั้นอีก “นั่นคือการทำสิ่งดีๆและเก็บมันไว้เป็นความลับ ไม่เล่าให้ใครล่วงรู้ถึงเรื่องที่เราได้ทำมาเลย” แน่นอนว่า คุณรู้สึกดีเมื่อได้เล่าเรื่องที่ทำให้คนอื่นฟัง แต่การเก็บเรื่องดีๆที่เราทำไว้กับตัวเราคนเดียวนั้นจะทำให้ความรู้สึกในทางบวกคงอยู่กับเราเพียงผู้เดียว ไม่ลดน้อยลงไปเฉกเช่นการนำเอาเรื่องที่ทำดีแล้ว ไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง

                เรื่องจริงก็คือคนเราควรเป็นผู้ให้เพื่อความสุขของการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นั่นเป็นความรู้สึกเดียวกับการทำดีโดยไม่เล่าเรื่องทีทำให้ใครฟัง ...เราทำโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน รางวัลที่เราจะได้รับจากการเก็บเรื่องราวเป็นความลับก็คือความสุขในใจที่เอ่อล้นออกมาเองจากการ”ทำดี”


คราวหน้าเวลาที่เราทำสิ่งดีๆ ลองเก็บเรื่องนั้นเป็นความลับไว้ในใจดูสิ แล้วจะรู้ว่าความสุขของการเป็นผู้ให้โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆเลยมันรู้สึกดีขนาดไหน

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Read – อย่าพูดแทรกเวลาที่ผู้อื่นพูด



                เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่ผมตระหนักได้ว่า ผมพูดแทรกหรือจบประโยคของคู่สนทนาบ่อยแค่ไหน หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้ด้วยว่านิสัยนี้มันสร้างความเสียหายให้กับชีวิตได้มากกว่าที่คิด ไม่เพียงแต่ต้องเสียความรักและความเคารพที่ได้จากผู้อื่นไป แต่ยังต้องเสียพลังงานมากมายมหาศาลไปกับการคิดแทนคู่สนทนา พร้อมๆกับคิดเรื่องของตัวเองไปด้วย ลองจินตนาการดูสิ เมื่อคนสองคนที่ต่างก็รีบพูดเรื่องของตัวเองมายืนดัวยกัน พอเราแทรกคู่สนทนาหรือจบประโยคที่เค้ากำลังพูดค้างอยู่ เราไม่เพียงแต่ต้องเรียบเรียงเรื่องราวในหัวของเราเท่านั้น แต่เราต้องคาดการณ์ยาวไปถึงความคิดในหัวของคู่สนทนาที่เราพูดแทรกด้วย

                ด้วยนิสัยที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามจะพูดแทรกกัน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องเร่งสปีดทั้งในการพูดและการคิด นั่นเองที่ทำให้ทั้งทุกคนประหม่า ฉุนเฉียว และหงุดหงิด บทสนทนาจบลงด้วยความเหนื่อยล้า ในบางครั้ง การพูดแทรกยังก่อให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงได้ด้วย เพราะมีสิ่งหนึ่งที่คนทุกคนย่อมไม่พอใจก็คือ การที่ต้องคุยกับคนที่ไม่ฟังในสิ่งที่ตัวเองพูด เราจะฟังสิ่งที่คนอื่นพูดได้อย่างไร ถ้าหากเราพูดแทรกเวลาเค้าพูดตลอดเวลา

                เมื่อรู้ตัวว่า เรากำลังพูดแทรกผู้อื่น เราจะเริ่มมองเห็นเจ้านิสัยไม่ดีนี้ที่หลบสายตาเราตลอดมา การรู้ตัวถือเป็นข่าวดีเพราะมันคือขั้นตอนแรกของการแก้นิสัยนี้ ขั้นตอนต่อไปก็คือ เราต้องมีสติเตือนตัวเองตลอดเวลาไม่ให้ลืมตัว เตือนตัวเอง(ก่อนการสนทนาถ้าเป็นไปได้)ว่าให้อดทนและรู้จักรอ บอกตัวเองเสมอว่า รอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยคก่อนแล้วค่อยพูด

ในเวลาไม่นานคุณจะรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น คนที่เราพูดคุยด้วยจะรู้สึกผ่อนคลายเพราะเค้ารู้ว่ามีคนฟังในสิ่งที่เค้าพูดอยู่ และ เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายแบบนั้นเช่นกัน อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลง เราจะรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการสนทนา มากกว่าจะเป็นการรีบคุยให้มันจบๆไป

                การฟังผู้อื่นพูดให้จบโดยไม่พูดแทรกนี้ถือเป็นวิธีการง่ายๆที่ทำให้เราเป็นคนที่น่ารักและน่าคบหามากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Watch – มาดูยุงแบบโคตรซูมกันเถอะ


ยุงนี่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนไทย ไม่สิคนทั่วโลก มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ถ้ายุงมากัดนี่น้อยคนนักที่จะตัดใจไม่ตบได้ แม้แต่คนพุทธที่ถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ก็ตาม(ฮา)
ล่าสุดไปเวป
Theverge ได้เอาคลิปของ Natinal Geographic
ที่ซูมปากของยุงตอนกำลังชอนไชเข้าไปในผิวหนังของหนูทดลองมาให้ดู
...ใครที่เกลียดอะไรแบบนี้ควรข้ามบล้อคนี้ไปให้ไวนะครับ

.
.
.
เตือนแล้วนะเออ




จากในคลิปเราจะเห็นได้ว่าปากของยุงมีความยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก
มันไม่ได้เสียบทะลุผิวหนังของเหยื่อเข้าไปตรงๆ
มันสามารถเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ซอกซอน เพื่อหาหลอดเลือดที่จะให้มันดูดได้อย่างอิสระ
ดังนั้นเลยเลิกแปลกใจแล้วว่า ใส่กางเกงตั้งหนา แล้วยุงมันกัดทะลุมาได้ไงวะ

ไหนๆก็เห็นภาพปากยุงกันไปแล้ว
ทีนี้ลองมาดูวีดีโอยุงตอนดูดเลือดกันบ้าง
วีดีโอนี้มีความยาว 6 นาที เราจะได้เห็นยุงตั้งแต่ตัวเล็กๆก่อนดูดเลือด
ไปจนถึงตอนที่มันดูดเลือดเต็มท้อง จนเป็นบอลลูนเลือดลอยได้
...ห้ามใจไม่ให้อยากตบยากชะมัดบอกตรงๆ



เกร็ดความรู้ – ยุงไม่ได้กินเลือดเราเป็นอาหาร ยุงกินเลือดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
เพื่อใช้ในการวางไข่เท่านั้น อาหารหลักของยุงคือน้ำหวานจากดอกไม้ คล้ายๆผีเสื้อนั่นแหละ

Todayi Read – เตือนตัวเองเสมอว่า เราไม่สามารถทำทุกสิ่งให้ลุล่วงก่อนตายได้



                พวกเราหลายคนใช้ชีวิตเสมือนหนึ่งมีชะตากรรมที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงให้หมดให้ได้ เราทำงานจนดึกดื่น ตื่นนอนแต่เช้า ไม่ยอมพักผ่อนหย่อนใจ ปล่อยให้คนที่เรารักและรักเราเฝ้ารอเราอยู่เสมอ น่าเศร้าที่ผมเห็นหลายคนที่ปล่อยให้คนที่รักรอนานจนเกินไป นานจนอีกฝ่ายหมดความสนใจที่จะสานความสัมพันธ์เอาไว้ และสุดท้ายก็ต้องจบลงที่การเลิกรา

                อันที่จริงแล้ว ผมเองก็เคยทำแบบนั้น บ่อยครั้งที่เราโน้มน้าวใจตัวเองให้เชื่อว่า เมื่อเราทำทุกสิ่งที่อยู่ในรายการสิ่งที่”ต้องทำ”จนหมดแล้ว เราจะพบกับความสุข ความสงบ และผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริง เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ทันทีที่เราติ๊กสิ่งที่เราทำเสร็จเรียบร้อยออกไป สิ่งที่”ต้องทำ”สิ่งใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่แทบจะทันที

                ธรรมชาติของรายการ”สิ่งที่ต้องทำ”ก็คือ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นให้หมด มันไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราสะสางทุกอย่างให้หมดสิ้น ยังไงเสียมันก็ต้องมีการโทรศัพท์ที่เราต้องโทร แผนงานที่ต้องทำให้เสร็จ และงานคั่งค้างที่รอให้เราไปจัดการ เคยมีคนค้านด้วยซ้ำว่า การมีเรื่องที่”ต้องทำ”อยู่เสมอเป็นเรื่องจำเป็นต่อความสำเร็จ มันหมายความว่ามีคนต้องการเรา เราถึงมีงานต้องทำ!

                ไม่ว่าเราจะเป็นใครและทำงานอะไรก็ตาม จำเอาไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าการที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขและความสงบภายใน ทั้งของตัวเองและของคนที่เรารัก ถ้าคุณถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่า “เราต้องทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อน” เราจะไม่มีวันรู้สึกถึงความสุขของการใช้ชีวิตได้เลย ในชีวิตจริงทุกสิ่งที่ต้องทำล้วนสามารถ” รอได้” มีงานจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่มีความเร่งรีบถึงขั้น”ฉุกเฉิน”ถึงขั้นต้องทำมันให้เสร็จในทันที ถ้าเรามีสมาธิในการทำงานมากพอ งานส่วนใหญ่ล้วนสามารถเสร็จภายในเวลาที่กำหนดได้แน่นอนอยู่แล้ว

                ผมเตือนตัวเอง(บ่อยๆ)ว่า เป้าหมายของชีวิตไม่ใช่การทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วง หากแต่เป็นการเพลิดเพลินไปกับทุกก้าวเดิน และ ใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักต่างหาก ผมพบว่าการเตือนตัวเองเช่นนี้ทำให้ผมสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ตกอยู่ภายใต้ความคิดที่อยากจะสะสางงานทุกอย่างให้หมดไปจากรายการที่”ต้องทำ”ได้ จำเอาไว้ว่า เมื่อเราตายจากโลกนี้ไป มันยังคงมีงานที่ค้างคาที่ต้องการคนมาสานต่อเสมอ และรู้อะไรไหม? เดี๋ยวมันก็จะมีใครบางคนเข้ามาทำงานที่ค้างคานั้นให้คุณเอง!


อย่าเสียช่วงเวลาที่วิเศษของชีวิต ให้กับการพยายามทำทุกสิ่งให้สำเร็จลุล่วงไปมากกว่านี้เลย

Todayi T – Windows7 Shortcut key [Win+Num]


คีย์ลัดใน Windows นั้นมีอยู่ค่อนข้างเยอะ
แต่คนรู้จักส่วนใหญ่เห็นใช้กันอยู่แต่ Ctrl+C / Ctrl+V
การรู้คีย์ลัดอื่นๆน่าจะช่วยให้เราทำงานได้ไวขึ้น
มากกว่าเอะอะก็เอาเม้าส์จิ้มๆเอาพอสมควร

คอลัมน์นี้จะเน้นไปที่การแสดงประโยชน์ของแต่ละคีย์ลัด
มากกว่าเอาตารางมาตัดแปะรวดเดียวจบไป
ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กรุณากดไลค์หรือแชร์ท้าย
Blog ด้วยนะครับ
...หวังว่าจะชอบกัน

+++

ปุ่มลัด
[Win+Num]
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครที่เปิดโปรแกรมทำงานโปรแกรมเดียวตลอดเวลาแล้ว
นอกจากหน้าจองานอย่างพวกโปรแกรมเอกสาร อย่างน้อยหน้าจอ
internet browser
ก็ต้องมีเปิดไว้บ้างละ จะ
Chrome จะ Firefox อะไรก็ว่าไป
รวมไปถึงน่าจะมีโปรแกรมแชทอย่างไลน์ หรือ โปรแกรมฟังเพลงเปิดเอาไว้อีกด้วย

ทีนี้เวลาต้องการเปลี่ยนไปใช้งานโปรแกรมอื่น
ท่ามาตรฐานก็คือเอาเม้าส์จิ้มเอาดื้อๆเลย
ใครที่โปรมาหน่อยก็อาจจะใช้
Alt+Tab เอา
แต่ถ้าเปิดเป็น 4-5 โปรแกรมขึ้นไป
Alt+Tab ก็เริ่มเอาไม่อยู่แล้ว
จุดนี้เองที่
[Win+Num] เข้ามามีบทบาทในวันนี้


อันดับแรกให้มองไปที่
Taskbar ที่ตีกรอบเอาไว้ในภาพด้านบน
จุดที่
Chrome วางอยู่คือลำดับที่ 1
Firefox คือลำดับที่ 2 Word ก็ลำดับที่ 3 และไล่ไปเรื่อยๆ
การกด
[Win+Num] เช่น [Win+เลข1] ก็คือการเปิดโปรแกรมใน Chrome ขึ้นมา
หรือในกรณีที่เปิดโปรแกรม
Chrome อยู่แล้ว
ก็จะเป็นการสลับหน้าต่างมาที่
Chrome แทน


ชอทคัทนี้ต้องการ การจัดการ Taskbar อยู่พอสมควร
โปรแกรมไหนที่ต้องใช้บ่อยให้เอามาวางไว้บน
Taskbar เสียก่อน
แล้วจัดเรียงให้เหมาะกับการใช้งานของเรา

อย่างผมใช้
internet browser บ่อยที่สุด
เลยเอา
Chrome กับ Firefox มาไว้ในตำแหน่งที่หนึ่งและสอง
([Win+1] = Chrome , [Win+2] = Firefox)
ตามมาด้วย MS Word ในลำดับที่สาม
...ความแตกหมดเลยว่าชอบเล่นเน็ทมากกว่าทำงาน(ฮา)

ในอนาคตจะนำเสนอชอทคัทอื่นๆเรื่อยๆ
ใครที่คิดว่าปุ่มที่ตนใช้ประจำมีประโยชน์มากก็เสนอเข้ามาได้นะครับ
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ
:D


Todayi Think – ทะเบียนสมรส



ปกติไม่ค่อยยุ่งเรื่องการมีเมีย มีผัวของชาวบ้าน แม้กระทั่งดาราก็ตาม
ใครรักกัน ชอบกัน เลิกกัน แย่งกัน ชู้กัน ก็ไม่ได้อยากยุ่งอยากติดตามเท่าไหร่
แต่ในวันนี้ทั้งทวิตเตอร์ ทั้ง
Facebook แม่มมีแต่ข่าวจ.-อ.-น.
สุดท้ายก็ต้อง”เผือก”อ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเรื่องนี้มีกรณีน่าคิดหลายอย่างเลยทีเดียว

เรื่องราวดราม่าฉาวครั้งนี้มีเรื่องย่อคือว่า
“จ.แย่งคุณอ.ที่เป็นสามีของคุณต.มาเป็นสามีของตน
งานนี้จ.น่าจะผิดเต็มแต่คดีกลับพลิกผัน
เมื่อจ.จูงมืออ.ออกมาแถลงข่าวพร้อมทะเบียนสมรส
ซึ่งกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายทันที”

อันดับแรกเรื่องนี้มันเป็นเรื่องในมุ้งของคนอื่น (รวยระดับนั้นไม่น่าจะนอนมุ้งกันแล้วนะ)
แต่เราก็ร่วมด้วยช่วยกัน”เผือก”ราวกับว่ามันเป็นเรื่องของเพื่อนข้างห้องยังไงยังงั้น
บางทีการเป็นคนของประชาชนมันก็อยู่ลำบากนะ
มีอะไรขึ้นมาทีก็ต้องโดนขุดคุ้ย ก่นด่า จากใครไม่รู้แบบรัวๆ

กรณีนี้ผมคงพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะการเขียนบล๊อคนี้ก็เรียกได้ว่า”เผือก”เหมือนกัน
ดังนั้นถ้าเป็นดารา คนเด่นคนดัง คนของสังคม คนของประชาชนแล้ว
คงจะมาเรียกร้องไม่ให้ชาวบ้าน”เผือก”เรื่องของตัวเองได้ยาก
เมื่อรู้ว่า ถ้าทำเรื่องแบบนี้แล้วจะลำบากก็น่าจะไม่ทำเสียตั้งแต่แรก
แต่เมื่อทำไปแล้วก็ต้องทนโดน”เผือก”กันไปแหละ
...ไม่ได้บอกว่าการ”เผือก”เป็นสิ่งที่ชอบธรรมนะ แต่มันเป็นอะไรที่ห้ามได้ยากมาก

กรณีที่สอง งานนี้จ.รับเละแบบสุด
ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก
เพราะการนอกใจมันเกิดจากใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้
มันต้องตบมือสองข้างถึงจะดัง ตับๆๆๆๆ(ไม่ใช่ละเฮ้ย)
แล้วทำไมสังคมถึงก่นด่าฝ่ายญ.เพียงฝ่ายเดียว
(ด่าฝ่ายชายมีน้อยมาก เท่าที่ลองอ่านความเห็นผ่านๆตามา)

คนไทยเรายังมองผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องรักนวลสงวนตัวเพียงฝ่ายเดียว
เรื่องเพศนี้ถือเป็นเรื่องที่ยากจะมีความเท่าเทียมกันในสังคมไทยอย่างแท้จริง
มีอย่างที่ไหน ผู้ชายเจ้าชู้ถือว่าเทพ ถือว่าเป็นยอดบุรุษ
แต่พอสาวๆไปมีคนอื่น เอาแค่คบเผื่อเลือกยังกลายเป็นอีร่าน อีแรดเลย

สุดท้ายเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในเชิงศีลธรรมและกฎหมาย
เนื่องจากคุณ อ. ที่แต่งงานกับคุณต.เป็นเวลา 10 กว่าปีมีลูกด้วยกัน
...สองคนนี้แต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
!!
ดังนั้นการที่จ.จดทะเบียนกับอ.จึงถือว่าเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฏหมายไปซะงั้น

ในเชิงกฎหมายต้องยอมรับว่านางจ.เป็นภรรยาที่ถูกต้องจริงๆ
แต่ภรรยาเก่าที่มีลูกด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียน กลายเป็นภรรยานอกสมรสไปซะงั้น
คนที่เป็นภรรยาก่อน โดนคนที่มาทีหลังกล่าวอ้างความเป็นภรรยาได้อย่างถูกกฎหมายแบบนี้
...นี่มันน่าช้ำใจนะ

ไม่ได้ช้ำใจในด้านตัวบทกฎหมาย
แต่น่าช้ำใจที่คนที่รักกัน ที่มีลูกด้วยกัน ใช้ชีวิตมาด้วยกัน
เมื่อวันหนึ่งที่ภรรยาไม่สาว ไม่สวย ผู้ชายคนนั้นก็ทิ้งไปหาคนอี่นได้อย่างไม่ลังเล
...ทำไมคนแบบนี้ไม่โดนด่าบ้าง ..มันน่าช้ำใจตรงที่สังคมด่าแต่เพศหญิงเนี่ยละ

แล้วที่ช้ำใจกว่านั้น คนที่มาแย่งเค้า มีใบจดทะเบียนสมรส
เดินเฉิดฉายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
...แม้จะโดนสังคมด่า ...โดนเพื่อนเลิกคบก็ตาม

หรือใบจดทะเบียนสมรสไม่ได้เอาไว้ใช้บอกโลกว่า คนสองคนนี้รักกัน
...แต่เป็นใบที่เอาไว้ตีตราความเป็นเจ้าของอีกฝ่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย?

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Read – มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น

           

             ไม่มีอะไรจะฝึกให้เรามีมุมมองที่ดีต่อโลกใบนี้ได้มากไปกว่าการมีเมตตากับเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น ความเมตตาคือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ มันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เราหยุดนึกถึงแต่ตัวเอง ทำให้เราได้คิดว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผู้อื่นเราจะรู้สึกอย่างไร มันเป็นการตระหนักรู้ว่าคนอื่นก็มีปัญหา มีความเจ็บปวด มีความท้อแท้

การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราทำให้เราสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ เสมือนหนึ่งว่ามันเกิดขึ้นกับเราเอง การตระหนักรู้ถึงความทุกข์ของคนอื่นนี่แหละที่เป็นแรงผลักดันให้เราออกไปช่วยเหลือ  เป็นการเปิดใจของเรา และ ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกที่ดีในจิตใจได้ง่ายขึ้น

                ความมีเมตตาเป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกได้ การฝึกนั้นประกอบไปด้วยองค์ประกอบสองอย่างได้แก่ เจตนา และการลงมือทำ เจตนานั้นสร้างได้ด้วยการเปิดหัวใจของเราให้กับผู้อื่น เป็นการเปิดรับความรู้สึกของผู้อื่นเข้ามาในโลกของเราเอง ส่วนการลงมือทำแปลตรงตัวได้ว่า “เมื่อรับรู้แล้วเราทำอะไร” เราอาจจะช่วยบริจาคเงิน เวลา หรือทั้งสองอย่าง ให้กับสิ่งที่หัวใจเห็นว่าสมควร 


                บางครั้งมันอาจจะง่ายกว่านั้น เพียงแค่เราทักทายผู้อื่นด้วยรอยยิ้มจากใจ ยิ้มให้กับผู้คนที่เราพบปะบนท้องถนน บนรถเมล์ หรือสถานที่อื่นใดก็ได้ มันไม่สำคัญหรอกว่าเราทำอะไร สิ่งสำคัญคือขอให้เราได้ลงมือทำก็พอ ดังที่แม่ชีเทเรซ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ เราไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้ เราสามารถทำได้เพียงสิ่งเล็กๆที่เปี่ยมด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เท่านั้น”


                การฝึกตัวเองให้มีเมตตามากขึ้น จะพัฒนาความรู้สึกของเราให้รู้สึกถึงสิ่งดีๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น ด้วยการเอาความสนใจของเราออกไปจากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ก่อให้เกิดความเครียดในแต่ละวัน เมื่อเราให้เวลาพิจารณากับปาฏิหาริย์ของชีวิตในทุกวัน เช่น ปาฏิหาริย์ที่ทำให้คุณมาเจอกับหนังสือเล่มนี้ ปาฏิหาริย์ของความรัก และปาฏิหาริย์อื่นๆ มันจะช่วยให้มุมมองของคุณที่เห็นว่าปัญหานั้นเคยใหญ่โต กลับกลายเป็นเรื่องเล็กไปเสียสนิท นั่นเพราะความเมตตาที่เรามี ได้สร้างตัวเราให้ใหญ่กว่าปัญหาเล็กๆเหล่านั้นนั่นเอง

Todayi Think – มนุษย์กินเนื้อวัวจากการ”ปลูก”เป็นครั้งแรกของโลกในวันนี้



ไล่อ่านข่าวต่างประเทศตอนบ่ายๆ
หลังจากอ่านข่าวในประเทศแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจซักเท่าไหร่
มีข่าวหนึ่งที่สะดุดตาอย่างมาก เพราะตอนแรกอ่านว่า
“เบอร์เกอร์ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลกที่ลอนดอน”
ไอ้เราก็งง กินเบอร์เกอร์มันมาเป็นข่าวได้ไงวะ? แล้วมากินครั้งแรกอะไรเอาป่านนี้?
อ่านดูดีๆมันเขียนว่า
 World's first lab-grown burger is eaten in London
ซึ่งแปลว่า “เนื้อวัวที่ถูกปลูกขึ้นในห้องทดลอง ถูกกินเป็นครั้งแรกของโลก” ต่างหาก


Get Adobe Flash player

ความน่าสนใจของข่าวนี้อยู่ที่เทคนิคการเพาะเลี้ยง Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้น
ในตอนแรกถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆให้กับผู้ป่วย
แต่ศจ.
Mark Post แห่งมหาวิทยาลัย Maastricht

เล่นประยุกต์เอาเทคนิคนี้มาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อวัว
...และมันได้ผลเสียด้วยสิ

Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิดถูกนำมาเพาะเลี้ยงในห้องทดลองให้เติบโตเป็นเนื้อเยื่อบางๆ
มีความยาวราว
1 ซม.หนา 2-3 มิล การเพาะเลี้ยงจะเพราะแยกไว้หลายๆชิ้น
ชิ้นไหนที่โตได้ขนาดก็เอาไปแช่แข็งไว้ เมื่อได้ปริมาณที่มากพอแล้วก็เอามารวมกัน
แล้วก็กลายเป็นเบอร์เกอร์ให้ผู้ทดสอบได้กิน อย่างที่เราเห็นในคลิปนั่นเอง



ผลการทดสอบผ่านลิ้นของนักวิจารณ์อาหาร
Hanni Ruetzler และ Josh Schonwald
ได้ผลว่า “เนื้อที่ปลูกขึ้นนี้ มีความคล้ายเนื้อวัวจริงๆ
เพียงแต่ไม่มีไขมันและขาดความฉ่ำเยิ้มอย่างที่เนื้อวัวควรจะมี”
ถ้าไม่คิดอะไรมาก นั่นแปลว่า ถ้าเอาเนื้อ”ปลูก”นี้มาใส่เบอร์เกอร์
ให้คนทั่วไปทาน ก็คงยากจะแยกออกว่าอันไหนเป็นเนื้อวัวจริง อันไหนเป็นเนื้อที่ปลูกขึ้นมา


ทีเด็ดคือเนื้อที่ปลูกขึ้นมานี้ ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการเลี้ยงวัวถึง 45%
ลดแก๊สเรือนกระจกได้มากถึง 96% และ ใช้ที่ดินไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับการเลี้ยงวัว!!
และต่อไปเราอาจปลูกเนื้อไว้กินเองที่บ้านได้อีกด้วย!!

ศจ.
Mark Post หัวหน้าเครือข่ายทีมวิจัยด้านอาหารมหาวิทยาลัย Oxford กล่าวกับกรณีนี้ว่า
“ถ้ามันไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเนื้อวัว ไม่ได้มีรสชาติเหมือนเนื้อวัว
มันคงมาแทนที่เนื้อวัวไม่ได้หรอก“

และเธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “คนจำนวนมากมองเนื้อที่มาจากการเพาะปลูกในห้องทดลอง
เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้าพวกเขาเห็นวัวในโรงเชือด นั่นมันก็น่ารังเกียจไม่แพ้กันนะ”


ความเป็นไปได้ที่เทคนิคนี้จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์จริงๆคงจะอีกสักพัก
(ในข่าวใช้คำว่า
While แปลว่าสักระยะหนึ่ง ซึ่งน่าจะนานกว่า 1 ปีขึ้นไป)
การนำผลงานมาแสดงออกสื่อครั้งนี้ เป็นเพียงการบอกให้โลกรับรู้ว่า
“เราสามารถทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริงได้” ศจ.
 Mark Post กล่าว




อ่านข่าวนี้จบแล้วเล่นเอามองโลกอนาคตไม่เห็นเลย เกิดวันดีคืนดี เนื้อวัวปลูกพวกนี้แม่มทำในเชิงพาณิชย์ได้จริงแล้วราคาถูกกว่าเนื้อวัวแท้ครึ่งต่อครึ่งผู้บริโภคจะเลือกกินอะไรกันล่ะทีนี้?
คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆเมื่อมีแหล่งโปรตีนราคาถูกเช่นนี้ออกวางตลาดน่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนที่เข้าถึงแหล่งโปรตีนราคาแพงไม่ได้หรือพูดอีกอย่างแทบไม่ได้กินอาหารให้อิ่มท้องเลยนั่นเอง

ที่มาข่าว : 
http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-23576143


วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Todayi Think – อุปกรณ์พกพา ...ที่ไม่สะดวกพกพา


มือถือกลายเป็นอุปกรณ์พกพาอันดับหนึ่งในชีวิตของคนส่วนใหญ่ทั่วโลก

เห็นได้จากยอดขายของเจ้าอุปกรณ์ชนิดนี้ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
เมี่อมีตลาดรองรับมากขึ้น
ค่ายมือถือต่างๆก็ต้องพยายามออกเครื่องรุ่นใหม่ เพื่อสู้กับมือถือของค่ายอื่นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ความไฮเทคของมือถือในทุกวันนี้
ก้าวไปไกลกว่า”มือถือ”เมื่อ 10 ปีก่อนอย่างเทียบกันไม่ติด


ผมไม่ได้ใช้คำว่า”สมาร์ทโฟน” เพราะไม่ต้องการเน้นไปที่ความสามารถอันหลากหลายของมัน
การใช้คำว่า”มือถือ” ช่วยให้เรานึกภาพของอุปกรณ์ที่เอาไว้พกพาไปมา
มากกว่าจะนึกถึงสุดยอดนวัตกรรมที่ทำได้ทุกอย่างจากคำว่า”สมาร์ทโฟน”

ด้วยความที่ทุกค่ายต้องการทำให้สมาร์ทโฟนของตนสมาร์ทกว่าสมาร์ทโฟนของค่ายอื่น
มือถือจึงไม่ได้เป็นมือถืออีกต่อไป
มันแปลงสภาพเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์พกพาที่โทรออกได้เสียมากกว่า
จริงอยู่ที่การที่เทคโนโลยีพัฒนาไปมาก ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ของดี
แต่นั่นก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
...แบตเตอรี่ของมือถือ เริ่มไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

ตลกร้ายก็คือ ด้วยความพยายามที่จะก้าวข้ามจากมือถือไปเป็นสมาร์ทโฟนนี้
ส่งผลให้เรามีมือถือที่ซดแบตเตอรี่เป็นแกลลอนเกลื่อนตลาดไปหมด
เพราะสเปคที่มากขึ้นหมายถึงการกินพลังงานที่มากขึ้นไปด้วย



เมื่อเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างแบตเตอรี่
ที่รองรับการใช้งานสมาร์ทโฟนแบบ
Maximum ได้ตลอดทั้งวัน
เราก็ต้องหาแหล่งพลังงานเสริมที่เรียกว่า
Power Bank มาติดตัวไว้
คำถามต่อมา แล้วจะเอามือถือที่บาง เบา เล็ก ไปทำไม?
ถ้าต้องพกก้อนแบตเตอรี่ที่หนักกว่ามือถือไว้ตลอดเวลา
แถมต้องคอยปวดหัวเวลาสายชาร์จใช้พลังจิตผูกตัวเองเป็นเงื่อนพิรอดในกระเป๋าเสมอ

มือถือก็คือมือถือ ความสะดวกในการพกพาควรจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสิ
ไม่ใช่ย่อคอมตั้งโต๊ะมาไว้ในมือ ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ราว 3-4 ชม.
แล้วก็แปลงร่างเป็นที่ทับกระดาษหรือตุ้มถ่วงกระเป๋าสะพาย

มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่อุปกรณ์พกพา กลับไม่สะดวกในการพกพาเอาเสียเลย
ถ้าไม่พก
 Power Bank ไว้ เราก็ไม่สะดวกใจ ไม่สบายใจว่าเครื่องจะดับก่อนถึงบ้านไหม
ถ้าพกก็หนักกระเป๋า รุ่มร่าม และต้องลำบากชาร์จไฟทั้งมือถือ และ 
Power Bank อีก

ในอนาคตหวังว่าจะมีค่ายมือถือใจกล้า
ที่ไม่สู้ด้วยสเปคเครื่องหรือนวัตกรรมใหม่ๆเพียงอย่างเดียว
แต่มองมือถืออย่างที่อุปกรณ์พกพาควรจะเป็น
ทำเครื่องออกมาให้หนานิด น้ำหนักมากหน่อย แต่ใส่แบตอึดๆเข้าไว้
...น่าจะได้ใจคนที่ขี้เกียจพก
 Power Bank พอสมควร




ปล.สมัยก่อนมีเจ้า
Motorola RAZR MAXX ( โมโตโรล่า RAZR MAXX )
ที่อัดแบตมาให้แบบบ้าเลือด 3,300 mAH เรียกได้ว่าเยอะที่สุดในตลาด
(iPhone 5 - 1,440 mAH / LG Nexus4 - 2100 mAH)
เสียดายที่สเปคด้อยไปนิด ถ้าอนาคตเป็น
Moto X แล้วแบตเท่านี้สงสัยมีเสียเงิน